วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คลื่นเสียง


คลื่นเสียง






“เสียง เริ่มเกิดขึ้นเมื่อวัตถุหรือแหล่งกำเนิดเสียงมีการสั่นสะเทือน 

ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของอากาศที่อยู่โดยรอบ 

กล่าวคือโมเลกุลของอากาศเหล่านี้จะเคลื่อนที่จากตำแหน่งเดิม

ไปชนกับโมเลกุลที่อยู่ถัดไป ก่อให้เกิดการถ่ายโอนโมเมนตัม

จากโมเลกุลที่มีการเคลื่อนที่ให้กับโมเลกุลที่อยู่ในสภาวะปกติ 

จากนั้นโมเลกุลที่ชนกันนี้จะแยกออกจากกัน

โดยโมเลกุลที่เคลื่อนที่มาจะถูกดึงกลับไปยังตำแหน่งเดิมด้วยแรง

ปฏิกิริยา

และโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงานจะเคลื่อนที่ไปชนกับ

โมเลกุลที่อยู่ถัดไป ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นสลับกันไปมาได้เมื่อ

สื่อกลาง(ในที่นี้คืออากาศ) มีคุณสมบัติของความยืดหยุ่น  

การเคลื่อนที่ของโมเลกุลอากาศนี้จึงเกิดเป็นคลื่นเสียง 
เมื่อแหล่งกำเนิดเสียงสั่นจะถ่ายทอดการสั่นให้แก่โมเลกุลของตัวกลาง 

                  ที่อยู่ใกล้และโมเลกุลนั้นจะสั่นกลับไปกลับมาพร้อมกับถ่ายทอดการสั่น

                  ให้แก่โมเลกุลต่อ ๆ ไปตามลำดับทำให้พลังงานของเสียงถูกส่ง

                  แผ่กระจายออกไป ขณะที่โมเลกุลสั่นกลับไปกลับมานั้นจะทำให้เกิด

                  บริเวณส่วนที่เรียกว่า 

                                        "ช่วงอัดสลับกันไปกับช่วงขยาย"  
                    lllllllll l l l l l l l llllllllllll l l l l l l l lllllllllll l l l l l l l llllllllllll l l l l l l l llllllllll l l l l l l l llllllllllll l l l l l 
                    อัด   ขยาย อัด  ขยาย อัด ขยาย  อัด  ขยาย  อัด   ขยาย อัดขยาย 

                   ช่วงอัด  คือ บริเวณที่โมเลกุลกำลังเคลื่อนที่เข้ามากันจึงมีโมเลกุล

                   อัดกันหนาแน่นกว่าปกติ 

                   ช่วงขยาย  คือ บริเวณที่โมเลกุลกำลังเคลื่อนที่ห่างออกจากกันจึง

                   มีโมเลกุลหนาแน่นน้อยกว่าปกติระยะห่างระหว่าง

                  ช่วงอัดถึงช่วงอัดถัดไป  เรียกว่า ความยาวคลื่น

                  ซึ่งจะเท่ากับระยะห่างระหว่างช่วงขยายที่อยู่ถัดกันด้วย

อัตราเร็วเสียงขึ้นอยู่กับคุณสมบัติตัวกลางที่เสียง

เคลื่อนที่ผ่าน ได้แก่ ความหนาแน่น

   ความยืดหยุ่น เป็นต้น โดยปกติเสียงเดินทาง 

ในของแข็งได้ดีที่สุด รองลงมาคือ

   ของเหลวและก๊าซ 

   นอกจากนี้อัตราเร็วเสียงยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของตัวกลางที่เสียง

    เคลื่อนที่ผ่าน โดยพบว่า เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 

อัตราเร็วเสียงจะมีค่ามากขึ้น

เสียงมีสมบัติของคลื่นครบทั้ง 4 ประการ 

           คือ สะท้อน หักเห แทรกสอด และเลี้ยวเบน ดังนี้ 
          1 เสียงสะท้อน
           การสะท้อนของเสียง คือ  เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง
           ตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาที่เดิม
       
           เสียงสะท้อนกลับ คือเสียงที่สะท้อนกลับมาสู่หู
          ช้ากว่าเสียงที่ตะโกนออกไปเกิน วินาทีหูจึงจะสามารถ
          แยกเสียงที่ตะโกนกับเสียงสะท้อนกลับมาได้                     การสะท้อนของคลื่นจะเกิดขึ้นได้ีเมื่อวัตถุหรือสิ่งกีด
          ขวาง มีขนาดโตกว่าความยาวคลื่นที่ตกกระทบ  
  
           2 การหักเหของเสียง 
           เสียงเคลื่อนที่จากตัวกลางหนึ่งผ่านไปยังอีกตัวกลาง
           จะเกิดการหักเหเช่นเดียวกับคลื่นผิวน้ำเช่นเห็นฟ้าแลบ
          โดยไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องเนื่องจากคลื่นเสียงเคลื่อนท
ี่          ผ่านอากาศร้อนได้เร็วกว่าอากาศเย็นอัตราเร็วของเสียง
          จึงน้อยกว่าบริเวณใกล้ผิวโลก 
  
           3 การแทรกสอดของเสียง เสียงมีคุณสมบัติสามารถ
           แทรกสอดกันได้เมื่อฟังเสียงบริเวณที่มีการแทรกสอด
           กันจะได้ยินเสียงดังค่อยต่างกันซึ่งจะได้ศึกษาต่อไป 

           4 การเลี้ยวเบนของเสียง 
            เสียงสามารถเคลื่อนที่อ้อมสิ่งกีดขวางไปด้านหลังของ
            สิ่งกีดขวางได้ เช่นเดียวกับ คลื่นผิวน้ำ ซึ่งจะพบเห็นใน
            ชีวิตประจำวันอยู่เสมอ


การเกิดบีตส์ (Beat)   


เป็นปรากฎการณ์จากการแทรกสอดของคลื่นเสียง  2  ขบวน
  
ที่มีความถี่แตกต่างกันเล็กน้อย  

และเคลื่อนที่อยู่ในแนวเดียวกันเกิดการรวมคลื่นเป็นคลื่น

เดียวกัน  ทำให้แอมพลิจูดเปลี่ยนไป 

เป็นผลทำให้เกิดเสียงดังเสียงค่อยสลับกันไปด้วย

ความถี่ค่าหนึ่ง 

ความถี่ของบีตส์หมายถึง  

เสียงดังเสียงค่อยที่เกิดขึ้นสลับกันในหนึ่งหน่วยเวลา 

เช่น ความถี่ ของบีตส์เท่ากับ  7  รอบ/วินาที 

หมายความว่าใน  1 วินาที  จะมีเสียงดัง  7  ครั้ง  และเสียง
ค่อย  7  ครั้ง








ความดังของเสียง 

 วัดได้จากพลังงานของเสียงที่ตกลงพื้นที่รับเสียง 

ซึ่งการบอกค่าความดังบอกได้  2  แบบ  คือ 

1.  ค่าความเข้มของเสียง  ซึ่งวัดจากพลังงานเสียง

ที่ตกตั้งฉากบนพื้น

ที่รับเสียง  1  ตารางหน่วยในเวลา  1  วินาที   

ค่าความเข้มเสียงจะมีหน่วยเป็นวัตต์/ตารางเมตร 


2.  ค่าระดับความเข้มเสียง  เป็นค่าความดังที่เปรียบเทียบกับ 

ค่าความเข้มเสียงต่ำสุด  นิยมใช้หน่วยเดซิเบล 

เสียงที่มนุษย์ได้ยินมีค่าระดับความเข้มเสียง

ระหว่าง  0 - 120 เดซิเบล 

เช่น  เสียงกระซิบมีความดังประมาณ  30 เดซิเบล 

เสียงเครื่องตัดหญ้า  มีความดังประมาณ  100  เดซิเบล เป็นต้น

การบอกค่าความดังของเสียงนิยมบอกในรูปของระดับ

ความเข้มเสียงใน

หน่วย "เดซิเบล" 


การได้ยิน

จะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบ  3  อย่างได้แก่ 

แหล่งกำเนิดเสียง  ตัวกลางให้เสียงผ่าน  และอวัยวะรับเสียง 

(หูและองค์ประกอบของหู) 

มนุษย์ได้ยินเสียงที่อยู่ในช่วงความถี่ที่ประสาทหูของมนุษย์รับได้ คือ

ความถี่ระหว่าง 20 - 20,000 เฮิรตซ์ 

และเสียงนั้นต้องมีความดัง หรือ 

ค่าระดับความเข้มเสียงไม่ต่ำกว่า  0 เดซิเบล 


1.ความถี่ธรรมชาติ 

              คือ  ค่าความถี่ของวัตถุแต่ละชนิดที่มีอยู่ในตัว

              มันเอง

             2.การสั่นพ้อง

            ปรากฏการณ์ที่ทำให้ วัตถุสั่นหรือแกว่งโดยความ

            ถี่ของแรงที่ทำให้วัตถุสั่นหรือแกว่งเท่ากับความ

            ถี่ธรรมชาติของวัตถุ
ุ             นั้นเรียกว่า   การสั่นพ้อง   ขณะเกิดการสั่นพ้อง 

           การสั่นพ้องของวัตถุจะมีแอมพลิจูดของการ

             สั่นมากที่สุดเมื่อเทียบกับการสั่นด้วยความถี่อื่นๆ

              การสั่นพ้องของเสียงการเกิดการสั่นพ้องของเสียง

             ในหลอดที่มีความยาวคงที่

              1.ความถี่มูลฐาน   คือ   ความถี่ต่ำสุดของคลื่น

               นิ่งในหลอด ซึ่งมีความยาวคลื่นมากที่สุด  
  
              แล้วทำให้เกิดการสั่นพ้องของเสียง

               2.โอเวอร์โทน  คือความถี่ของคลื่นนิ่งที่ถัดจาก

              ความถี่มูลฐานแล้วทำให้เกิดการสั่นพ้อง

              ของเสียงในหลอดนั้นได้ มีค่าเป็นขั้นๆ

               3.ฮาร์โมนิค  คือ ตัวเลขที่บอกว่าความถี่นั้น

              เป็นกี่เท่าของความถี่มูลฐาน



คุณภาพของเสียง  หมายถึง 

 ลักษณะเฉพาะตัวของเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง 

แต่ละชนิดเช่น เสียงจากปี่  เสียงจากปี่ 

หรือเสียงจากไวโอลินจะแตกต่างกัน   

ทั้ง ๆ ที่เล่นดนตรีโน้ตตัวเดียวกันแต่เสียงที่เกิดขึ้นจะต่างกัน 

เสียงพูดของมนุษย์แต่ละคนจะไม่เหมือนกันเพราะมีคุณภาพของเสียงหรือ

ลักษณะเฉพาะต่างกัน 

 สิ่งที่ทำให้คุณภาพของเสียงจากแหล่งกำเนิดต่างกัน 

ก็คือชนิด ขนาดและลักษณะของวัสดุที่เป็นต้นกำเนินเสียง 

 รวมไปถึงลักษณะ 

และขนาดของ "กล่องเสียง" 

ที่ทำให้เสียงที่เกิดขึ้นมีความชัดเจนกังวานด้วย 


































ความร้อน


ความร้อน
-พลังงานความร้อน
-พลังงานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสาร
-สมดุลความร้อน
-การถ่ายเทความร้อน
-สมบัติของแก๊สในอดมคติ
-กฎของบอยด์(Robert Boyle)
-กฎของชาร์ล(Charles’s law)
-กฎของเกย์-ลูกแซก(Gay-Lussac’s law)
-แบบจำลองของแก๊ส
-ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
-การหาอุณหภูมิผสมและความดันผสมจากทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
-พลังงานภายในระบบ
-การประยุกต์
-ตัวอย่างการคำนวณ

หัวข้อที่เลือก  
สมดุลความร้อน








สมดุลความร้อน หมายถึง ภาวะที่สารที่มีอุณหภูมิต่างกันสัมผัสกัน และถ่ายโอนความร้อนจนกระทั่งสารทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ากัน (และหยุดการถ่ายโอนความร้อน) เช่น การผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นเข้าด้วยกัน น้ำร้อนจะถ่ายโอนพลังงานความร้อนให้กับน้ำเย็น และเมื่อน้ำที่ผสมมีอุณหภูมิเท่ากัน การถ่ายโอนความร้อนจึงหยุด